อาหารคีโตอยู่ในกระแส อยู่ในความสนใจของผู้คน แต่ทั้งนี้ผู้ที่ออกมาแนะนำหรืออ้างว่าเป็นผู้รู้เรื่องคีโต ก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจคาดเคลื่อนเกี่ยวกับการกินอาหารคีโตได้ เอื้อมเลยชวนมาเช็คความเข้าใจผิด ช่วยคนคีโต ให้กินคีโตให้ได้ผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ต้องการ
นำบทความนี้มาเผยแพร่ เพราะมีประสบการณ์ว่า มักเลือกกินอาหารที่สารอาหาร โดยพยายามกินในแต่ละมื้อให้ร่างกายได้รับสารอาหารหลัก (คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน) หลากหลายเพียงพอ พร้อมสารอาหารรอง (แร่ธาตุ วิตามิน) หลากหลายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าไม่สามารถทำได้ในมื้อนั้น ๆ ก็พยายามทำให้ได้ในวันนั้น ๆ
งดอาหารที่จะทำให้ร่างกายเสื่อมทั้งหมด (อาหารแปรรูปทุกชนิด น้ำตาล แป้งขาว อาหารที่ปรุงสุกด้วยน้ำมันแปรรูป ไขมันทรานส์ แอลกอฮอลล์) ดื่มน้ำที่มีแร่ธาตุเพียงพอ และมากพอ
หากอยากทดลองปฏิกิริยาของร่างกายต่ออาหารบางอย่าง เช่น กาแฟ ให้สังเกตร่างกายของตนเองว่า มีปฏิกิริยากับเครื่องดื่มชนิดนี้อย่างไร หากมีความผิดปกติ ให้ทดลองซ้ำ จนพบคำตอบ แล้วจดจำ ปรับเปลี่ยนเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารหลากหลายเพียงพอ
ต้นทางคีโต
คุณโนร่า เกดกัวดาส นางพยาบาล และนักบำบัดโรคด้วยอาหาร ชาวอเมริกัน ผู้เขียนหนังสือชื่อ Primal Fat Burner; going beyond the ketogenic diet to live longer, smarter and healthier และหนังสือชื่อ Primal Body, Primal Mind รวมทั้งเป็นเจ้าของเว็ปไซต์ ซึ่งหลังจากบ.ก.ติดตามมาพักหนึ่งพบว่า คุณโนร่าเน้นการกินอาหารให้สมดุล
ทั้งนี้ ความสมดุลนั้นเป็นไปตามหลักชีววิทยาของร่างกายมนุษย์ว่า ต้องการสารอาหารอะไรอย่างไร พร้อมทั้งฟังเสียร่างกายของตนเอง เนื่องจากแต่ละคนจะมีการตอบสนองต่ออาหารแต่ละอย่างแตกต่างกัน และความผิดปกติใดที่เกิดขึ้นกับคน ๆ หนึ่ง และรักษาด้วยสูตรอาหารแบบหนึ่ง ก็ไม่สามารถให้อีกคนหนึ่งลอกเลียนการกินอาหารแบบเดียวกัน เพื่อรักษาโรคเดียวกันได้
อย่างไรก็ดี คุณโนร่าได้ศึกษาการกินอาหารของคนโบราณ หรือ primal diet อย่างลึกซึ้ง และจากงานวิจัยหลายอย่างยืนยันว่า นอกจากไลฟสไตล์ที่กระฉับกระเฉง สิ่งแวดล้อมปราศจากมลพิษ คนสมัยโบราณยังกินอาหารหลากหลายและสมดุล ซึ่งทำให้คนสมัยโบราณไม่เจ็บป่วยด้วยโรคจากพฤติกรรมการกินอยู่ เหมือนคนสมัยปัจจุบัน
และจากหนังสือ Primal Fat Burner และบทความชื่อ Beyond Keto: Ten Worst Health Mistakes คุณโนร่าแนะนำชาวคีโตให้ระวังความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการกินอาหารคีโตดเอาไว้ ทั้งนี้หากไม่ปรับความเข้าใจจะทำให้การกินอาหารคีโตไม่ได้ผล และแม้จะเป็นคำแนะนำแบบอเมริกัน แต่ชาวคีโตชาวไทยก็นำไปปรับใช้ได้ค่ะ
-
พึ่งพาคำแนะจาก “ผู้เชี่ยวชาญ” มากไป จนลืมความรู้สึกตนเอง
เนื่องจากอาหารคีโตอยู่ในกระแส มี “ผู้เชี่ยวชาญ” ออกมามากมาย โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ทั้งนี้เราก็หลงเชื่อ โดยลืมพิจารณาที่มาของการปรากฏตัวของคนเหล่านั้นว่า มีธุรกิจใดแอบแฝงอยู่บ้าง บริษัทอาหาร ร้านขายยา หรือคลินิกเอกชน
คุณโนร่า กล่าวถึงสถานการณ์การให้ความรู้เรื่องคีโตในประเทศสหรัฐอเมริกาว่า การศึกษาของแพทย์แผนปัจจุบันนั้นเริ่มต้นขึ้นในช่วงสงครามโลก ซึ่งเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นการรักษาโรค โดยการฆ่าเชื้อโรค การให้ยาเพื่อหยุดยั้งโรค และการเอื้อผลประโยชน์กันกับธุรกิจการใช้ยา และเครื่องมือแพทย์ เพื่อการหยุดยั้งโรคและอาการของโรค
นอกจากนี้ นักโภชนาการในสหรัฐอเมริกาก็มักได้รับการชี้นำจาก USDA เรื่องปิรามิดอาหารที่ไม่ได้อิงหลักวิทยาศาสตร์อาหารและสุขภาพ (unscientific USDA Food Pyramid)เท่ากับว่านักโภชนาการในสหรัฐอเมริกา ได้รับความรู้มาจากระบบการเรียนที่ซับซ้อน ซึ่งกำหนดโดยนโยบายทางการเมืองและเศรษฐกิจ แล้วก็ใช้สื่อโฆษณาเผยแพร่ให้ประชาชนรู้ โดยปิดบังความจริงดังกล่าว
-
เชื่อว่ากิน “จั้งฟู้ด” บ้างก็ได้
ขณะกินคีโต บางคนเข้าใจว่า กินเฟร้นฟรายหรือมันฝรั่งทอดได้บ้าง ซึ่งเรื่องการกิน “ได้บ้าง” นี้คือ สิ่งที่ต้องนำมาใคร่ครวญพิจารณา เนื่องจากอาหารจั้งฟู้ดนั้นมักเป็นอาหารที่มีส่วนผสมของไขมันทรานส์ (Trans-fat) ซึ่งหากกินเข้าไป ผลเสียต่อร่างกายนั้นจะเป็นโดมิโน ต่อเนื่องยาวนาน เนื่องจากไขมันทรานส์ไปหยุดการต้านการอักเสบของไขมันดีตัวอื่น ๆ บริเวณเยื้อหุ้มเซลล์
นอกจากนี้ ผงชูรสก็ยังเป็นท็อกซินที่เรียกว่า excitotoxin ทำลายสมอง ส่วนน้ำตาลที่เป็นส่วนผสมอยู่ในอาหารจั้งฟู้ดนั้นทำลายการควบคุมน้ำตาลในเลือด ที่คนคีโตซีเรียสอยู่ เนื่องจากเมื่อการควบคุมระดับในน้ำตาลในเลือดขึ้น ๆ (เมื่อกินแป้งและน้ำตาล) ลง ๆ (เมื่องดแป้งและน้ำตาล โดยให้ร่างกายใช้พลังงานจากคีโตน ที่หลั่งออกมาจากตับ) จุดมุ่งหมายของการกินคีโต (เช่น ลดน้ำหนัก ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด รักษาอาการอ่อนเพลีย เพิ่มพลังสมอง)
ฉะนั้น การกินแบบ “ได้บ้าง” จึงอาจเป็นการทำลายระบบการทำงานของร่างกายเป็นระยะเวลานาน ทั้งนี้จึงต้องถามตัวเองว่ารับได้ไหมที่จะทำร้ายร่างกายตนเองขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การกินแบบ “ได้บ้าง” จะเป็นการทำให้โรคและอาการที่เป็นอยู่หายช้าลง (ถือว่าโชคดี) หากโชคร้ายโรคและอาการที่เป็นอาจรุนแรงขึ้น
-
กินตามกระแสสังคม
คุณโนร่าอ้างถึงชาวอเมริกันที่ยังมีความลังเล ย้ำคิดย้ำทำเกี่ยวกับซุปเปอร์ฟู้ดที่อยู่ในกระแส รวมทั้งสัดส่วนของอาหารที่รัฐบาลอเมริกันแนะนำให้กิน ซึ่งล้วนแตกต่างจากอาหารคีโตโดยสิ้นเชิง ฉะนั้นขณะกินคีโต ก็กินอาหารในกระแสร่วมด้วย ก็จะไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
-
เชื่อว่าความผอมเป็นสัญลักษณ์ของการมีสุขภาพดี
แน่นอนว่า น้ำหนักเกินย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ปรารถนา แต่หากมีรูปร่างผอม และเป็นเบาหวานซึ่งหมายความว่าโอกาสในการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็งในอนาคตย่อมเป็นไปได้ ฉะนั้นรูปร่างไม่ได้เป็นตัวกำหนดความแข็งแรง และเป้าหมายของการกินอาหารคีโต
เป้าหมายแท้จริงของการกินอาหารคีโตคือ การกินคาร์โบไฮเดรต (ร่างกายต้องการน้อยกว่าสารอาหารหลักชนิดอื่น) น้อยลง และให้ร่างกายได้รับอาหารจำเป็นชนิดอื่นมากขึ้น นอกจากนี้ คนรูปร่างผอมมักกินไขมันอยู่ในรูปแบบของอาหารเสริม ยิ่งกลายเป็นว่าได้รับทั้งคาร์โบไฮเดรต และไขมันไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในตลาดผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักของสหรัฐอเมริกา ผลิตภัณฑ์เหล่านั้น มักมีส่วนผสมของน้ำตาล หรือน้ำตาลเทียม
-
กินอาหารแปรรูป
โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ โดยเผลอเลือกจากคำว่า “ธรรมชาติ” ที่ติดอยู่บนฉลากอาหาร ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปหลายอย่าง มีส่วนผสมของน้ำตาลในลักษณะ หรือมีชื่อต่าง ๆ นานา ซึ่งการกินอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาล ก็จะไปกระตุ้นอินซูลิน ซึ่งคนกินอาหารคีโตต้องการหยุดการทำงานของอินซูลิน ฉะนั้นก่อนเลือกซื้อเนื้อสัตว์แปรรูป อ่านฉลากให้ถ้วนถี่ค่ะ
-
ใช้อาหารเสริมเป็นตัวช่วย
จากพฤติกรรมบริโภคของข้อ5 หลายคนจึงบริโภคสารอาหารจากวิตามินและอาหารเสริม แทนการกินอาหารที่อยู่ในรูปแบบอาหาร ฉะนั้นผู้ที่กินอาหารคีโตจำไว้ว่า กินอาหารแบบที่เป็นโฮลฟู้ดดีที่สุด
-
เชื่อว่าออกกำลังกายจะช่วยทดแทนวันที่กินนอกลู่นอกรอย
การออกกำลังกายนั้นมีประโยชน์ ช่วยการไหลเวียนโลหิต ช่วยร่างกายผ่อนคลายความเครียด หากไม่หักโหมจนเกินไป แต่หลายคนใช้การออกกำลังกายช่วยในการเผาผลาญวันที่กินคาร์โบไฮเดรต หรือของหวานมากเกินไป จนรู้สึกผิด
และวิธีคิดดังกล่าว “ผิด” เพราะสูตรอาหารคีโตนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อหยุดการทำงานของอินซูลิน แต่การกินคาร์โบไฮเดรต จนทำให้อินซูลิน (ที่อยู่ในภาวะดื้ออินซูลิน) หลั่งออกมาอีก ฉะนั้นต่อให้เราออกกำลังกายไม่ว่าประเภทใดก็ตาม ก็เป็นการเผาผลาญพลังงานและคาร์โบไฮเดรตส่วนเกิน ไม่ใช่การยับยั้งหรือกำจัดอินซูลิน
-
เชื่อว่าการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพนั้น ต้องเป็นคนรวยเท่านั้น
หากคิดให้กว้างไกลกว่าสิ่งที่จับต้อง เงินทอง ที่เป็นรายรับรายจ่ายในชีวิตประจำวัน คุณโนร่าแนะนำให้ศึกษาเรื่องร่างกายของตนเอง ทั้งในแง่ของวิทยาศาสตร์และความรู้สึกต่ออาหารการกิน เพราะหากกระจ่างว่า สัดส่วนของอาหารที่ร่างกายต้องการนั้นคืออะไรแล้ว ทุกคนก็สามารถปรับเปลี่ยนอาหารที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาปรุงกินเอง หรือเมนูต่าง ๆ ในร้านอาหารที่มั่นใจในแง่วัตถุดิบว่า สะอาดปลอดภัย เท่านี้ ทุกคนก็สามารถกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพไปได้ตลอดชีวิต ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตาม
เหล่านี้ คือคำแนะนำ ที่จะช่วยให้ (ไม่แต่เฉพาะชาวคีโต) ทุกคนที่สนใจเรื่องอาหาร และการปรับอาหารเพื่อบำบัดเยียวยาอาการหรือความผิดปกติด้วยอาหารค่ะ