เทรนด์การกินอาหารคีโตมาแรงแบบฉุดไม่อยู่ ปี 2019 อาหารคีโตก็ยังอยู่ในอันดับต้นๆ ของเทรนด์สุขภาพ แต่การกินอาหารคีโตนั้น เน้นการหยุดการทำงานของตับอ่อน ในการผลิตอินซูลินในการแปลงแป้งและน้ำตาล (รวมทั้งโปรตีน) ไปสู่การเป็นกลูโคส และให้ร่างกายเริ่มต้นใช้คีโตนจากตับ ที่เป็นพลังงานที่มาจากไขมัน ฉะนั้นผู้ที่กินคีโต ต้องฝึกการกินแบบใหม่คือ กินคาร์โบไฮเดรตแค่ 5% (เดิมเราเคยกินมากกว่า 50%) มากินไขมันมากกว่า 50% (ซึ่งเดิมเรากินน้อยมาก หรือไม่กินเลย)
เมื่อปรับการใช้พลังงานขนานใหญ่แบบนี้ ถ้าใครอยากกินคีโต เพื่อแก้ปัญหาการควบคุมพลังงาน และระบบการเผาผลาญอาหาร เพื่อแก้ปัญหาอาการผิดปกติ และสุขภาพหลายอย่าง เราก็จำเป็นต้องปรับอวัยวะภายในบางอย่าง (นอกจากปรับแหล่งที่มาของอาหาร) เพื่อให้การกินคีโตมีประสิทธิผล และไม่ก่อให้เกิดอันตราย
เอื้อมพร FNTP เรียบเรียงมาจากหนังสือของ NTP (Nutrition Therapy Practitioner) รุ่นแรก ๆ คุณนอร่า เกดกัวดาส เรื่อง The Primal Fat Burner มาฝาก โดยเน้น 2 อวัยวะที่ต้องเตรียมให้พร้อม เพื่อการย่อยและการดดซึมสารอาหาร และเพื่อการกินคีโตให้ได้ประสิทธิผล
กระเพาะอาหาร
ร่างกายต้องหลั่งน้ำย่อยออกมามากพอ
และมีค่า pH ที่มีความเป็นกรดเพียงพอ
นั่นคือ pH 2.5-3 ทั้งนี้เพื่อให้การย่อยโปรตีนเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมทั้งการดูดซึมวิตามินบี 12 จากโปรตีน (เนื้อสัตว์) และแร่ธาตุต่าง ๆ มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การจะให้น้ำย่อยมีค่าความเป็นกรดดังกล่าว ก็ต้องปรับร่างกายให้ผ่อนคลายก่อนกินอาหาร เพื่อให้สมองสั่งกระเพาะอาหารให้หลั่งน้ำย่อยออกมามากพอ
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคของการที่ร่างกายจะหลั่งน้ำย่อยมากเพียงพอ และมีค่าความเป็นกรดเพียงพอคือ ความเครียด ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ขาดวิตามินบีและสังกะสี (อันเนื่องมากจากการกินแป้งขาวและของหวานมากเกินไป) อายุมาก
สำหรับผู้ที่กินอาหารคีโต หรือกำลังควบคุมการกินให้เป็นแบบโลว์คาร์บไฮแฟต น้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความจำเป็นอย่างที่สุด โดยเฉพาะที่คุณกำลังกินอาหารที่เชื่อว่าดีที่สุด และมีประโยชน์ที่สุดในมื้อนั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการย่อยโปรตีน และกระบวนการแปลงโปรตีนที่ย่อยแล้วไปสู่เป็บไทน์ หากมีน้ำย่อยไม่เพียงพอ หรือมีค่าความเป็นกรดไม่พอ อาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้
- แพ้โปรตีนต่าง ๆ (food sensitivity)
- ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุ เพื่อนำไปใช้ได้ไม่ดี และไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
- ไม่สามารถดูดซึมวิตามินบี 12 ไปใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะในการสร้างสารเคมีในสมอง เพื่อปรับสมดุลอารมณ์ บำรุงสมอง และเพิ่มความจำ
- ในกรณีผู้ที่มีปัญหาโรคลำไส้ขี้เกียจ(leaky gut)การกินไขมันเพื่อลดความอ้วน หรือดูแลสุขภาพ ก็จะยิ่งส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน เสี่ยงต่อโรคออโต้อิมมูน หรือภูมิแพ้ตัวเอง
- การดูดซึมโปรตีนไปใช้ประโยชน์ไม่ดี จะส่งผลต่ออาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ขาดคอลลาเจนบำรุงผิว และผมร่วง
- สุดท้าย ก็อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori เกิดเป็นแผลในกระเพาะอาหาร และโรคกรดไหลย้อน
สังเกตอาการน้ำย่อยมีไม่พอ
- ท้องอืด แสบร้อนในอก เป็นโรคกรดไหลย้อน
- รู้สึกอิ่มมาก จุกแน่น
- อาหารไม่ย่อย (สังเกตจากเศษอาหารที่ออกมากับอุจจาระ)
- ท้องผูก
- เลือดจาง เนื่องจากขาดแร่ธาตุเหล็ก และวิตามินบี 12 ที่ต้องดูดซึมจากกระเพาะอาหาร
- อาการอื่น ๆ เช่น ปัญหาความจำ เหนื่อยง่าย ผมร่วง เป็นตะคริว ปัญหาผิว กระดูกบาง แพ้อาหาร
ถุงน้ำดี
ถุงน้ำดีต้องแข็งแรง และมีน้ำดีเพียงพอ
เราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับถงน้ำดี เนื่องจากเป็นอวัยวะเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างหลังตับ อีกทั้งมีการร่ำลือว่า การกินไขมันจากเนื้อสัตว์ทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี คุณนอร่า (เธอเปิดคอร์สสอนวิธีการติดตามงานวิจัย ชิ้นไหนสนับสนุนโดยบรรษัทอาหารหรือองค์กรการค้า ชิ้นไหนมาจากสมมุติฐานของนักวิทยาศาสตร์เอง) ยืนยันว่า ยังไม่มีงานวิจัยรองรับ ความเชื่อมโยงการกินเนื้อสัตว์กับนิ่วในถุงน้ำดี ทั้งนี้จากประสบการณ์การรักษาผู้ป่วย พบว่าผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดีส่วนใหญ่ มีพฤติกรรมการกินคาร์โบไฮเดรตสูง และกินไขมันไม่เพียงพอ
หน้าที่หลักของถุงน้ำดีคือ รับน้ำดีจากตับมารอไว้ เพื่อย่อยและดูดซึมไขมัน รวมทั้งสารอาหารที่ละลายในไขมัน นอกจากนี้ยังย่อยฮอร์โมนหรือสารอาหารอื่นที่ร่างกายต้องการขับออก ก่อนเคลื่อนผ่านไปยังลำไส้ใหญ่ ฉะนั้นมนุษย์มีถุงน้ำดีเพื่อย่อยไขมันมาใช้ในร่างกาย หากระบบย่อยอาหารเกิดปัญหา เช่น เบาหวาน อ้วนลงพุง ระดับเอสโตรเจนผิดปกติ ก็จะทำให้ถุงน้ำดีไม่สามารถจัดการกับน้ำดีได้ หรือทำให้น้ำดีเข้มข้นเกินไป ก็จะเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้
และหากปัญหาดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไข นิ่วก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เกิดอาการเจ็บปวด และอากาอักเสบ จนต้องพึ่งแพทย์แผนปัจจุบันให้ผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกจากร่างกาย ซึ่งนั่นก็เป็นข่าวร้ายของชาวคีโต ที่ร่างกายไม่สามารถย่อยไขมันได้ตามปกติ
และถ้าถูกน้ำดีมีปัญหาหรือถูกตัดไปแล้ว จะทำอย่างไรดี
- หาปัญหาที่แท้จริงของปัญหาถุงน้ำดี เช่น ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ได้รับเอาโตรเจนเยอะเกินไป ปัญหาโรคแพ้ภูมิตัวเอง แพ้อาหาร ซึ่งในการดูแลถุงน้ำดี จำเป็นต้องจัดการปัญหาดังกล่าวไปด้วย
- เมื่อไม่มีถุงน้ำดี จำเป็นต้องดูแลกระเพาะอาหารเป็นอย่างดี และต้องระวังสุขภาพอย่างมาก เนื่องจากผู้ที่ตัดถุงน้ำดีไปแล้ว จะเสี่ยงปัญหาน้ำหนักเกิน และขาดสารอาหารที่ละลายในไขมัน (เช่น วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินดี วิตามินเค) ทั้งนี้คุณนอร่าแนะนำให้กินอาหารเสริม เลซิติน ที่เป็นแบบ non-GMO